thumbnail

Infographic_COVID-19 rss-icon
  • 11 พ.ค. 2564
    นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าว่า ในวันนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้สนับสนุนวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติมให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ภายใต้โครงการเราชนะ (โครงการฯ) ที่ไม่เคยขอสละสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการฯ คนละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ รวมเป็นเงิน 2,000 บาท โดยประชาชนจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ตามช่องทางที่เคยได้รับของแต่ละกลุ่มโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ สำหรับประชาชนกลุ่มที่รับสิทธิ์ผ่านทางแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ในวันพฤหัสบดีที่ 20 และ 27 พฤษภาคม 2564 และสำหรับประชาชนกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน จะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ในวันศุกร์ที่ 21 และ 28 พฤษภาคม 2564 โดยวงเงินสิทธิ์ที่ได้รับสนับสนุนเพิ่มเติมดังกล่าวสามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า สำหรับประชาชนกลุ่มรับสิทธิ์ผ่านทางแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่ได้ถอนการติดตั้ง (Uninstalling) แอปพลิเคชันไปแล้ว สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ที่ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ ได้จนถึงระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการฯ โฆษกกระทรวงการคลังได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,843 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และคนละครึ่ง และประชาชนกลุ่มผู้ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 115,724 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,461 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 205,028 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์แล้ว จำนวน 25.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
  • 11 พ.ค. 2564
    ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ต้นเงินที่ถึงงวดชำระให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกรตามความสมัครใจ ออกไป 6 เดือนถึง 1 ปี โดยผู้มีสิทธิ์กว่า 2.82 ล้านราย พร้อมสนับสนุนสินเชื่อสู้ภัย COVID – 19 ให้กับเกษตรกรรายย่อยและลูกจ้างภาคการเกษตร วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ส่งชำระคืน 3 ปี ปลอดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก รายละไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องใช้หลักประกัน และเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่เชื้อ ผู้ที่สนใจแจ้งความประสงค์ เข้าร่วมโครงการได้ผ่าน LINE Official BAAC Family เว็บไซต์ www.baac.or.th และ Call Center 02 555 0555 ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 ธ.ค. 64 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 รับทราบตามมาตรการกระทรวงการคลังที่มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการพักชำระหนี้ต้นเงิน ภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ (ระลอก 3) ตามความสมัครใจ โดย ธ.ก.ส. ได้กำหนดพักชำระหนี้ต้นเงินให้กับเกษตรกร และบุคคล ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล)สหกรณ์ (ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ) กลุ่มเกษตรกร กลุ่มบุคคล กองทุนหมู่บ้านหรือ ชุมชนและองค์กร ที่มีสัญญาเงินกู้และมีต้นเงินคงเป็นหนี้ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2564 และเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนเมษายน 2564 เป็นต้นไป และต้องไม่เป็นหนี้ตามโครงการนโยบายรัฐ หรือโครงการที่ได้รับการช่วยเหลือหรือมีเงื่อนไขตามมาตรการอื่น ๆ จำนวน 2.82 ล้านราย ทั้งนี้ เพื่อคลายความกังวลใจและลดภาระการชำระหนี้เป็นการชั่วคราวให้แก่ลูกหนี้ โดยลูกหนี้สามารถนำเงินงวดที่จะต้องชำระหนี้ไปเป็นสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการประกอบธุรกิจ โดยในส่วนของการพักชำระหนี้จะพิจารณาจากการกำหนดงวดชำระหนี้ตามศักยภาพของเกษตรกร บุคคล สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และนิติบุคคล ซึ่งจะพักชำระต้นเงินออกไป 6 เดือนถึง 1 ปี นับจากงวดที่ถึงกำหนดชำระเดิม และเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า โดยลูกค้าต้องชำระเพียงดอกเบี้ยเท่านั้น นายธนารัตน์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังเปิดให้บริการขอสินเชื่อสู้ภัย COVID – 19 สำหรับเกษตรกร ลูกจ้างภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID – 19 และเพื่อป้องกันการเป็นหนี้นอกระบบ วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ปลอดชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องใช้หลักประกัน ระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 3 ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 และเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคมตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์การเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินได้ผ่านช่องทาง LINE Official BAAC Family เว็บไซต์ https://www.baac.or.th และ Call Center 02 555 0555 พร้อมทั้งสามารถแจ้งความประสงค์ขอใช้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่าน LINE Official BAAC Family ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
  • 11 พ.ค. 2564
    ออมสินขานรับมติ ครม. เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิดระลอกใหม่ปล่อยสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อน รายละ 10,000 บาท ให้ยี่นกู้ผ่าน MyMo ได้ตั้งแต่ 13 พ.ค.นี้ เฟสแรกเน้น 6 จังหวัดสีแดงเข้ม ก่อนขยายผลช่วยเหลือทั่วประเทศในเฟสต่อไป นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 3 โดยรัฐบาลได้มอบหมายธนาคารออมสินเป็นผู้จัดทำมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันที ด้วยมาตรการ "สินเชื่อสู้ภัย COVID-19" วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดรายได้อันเนื่องมาจากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นขึ้น โดยผู้มีสิทธิ์ขอสินเชื่อนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งผู้มีรายได้ประจำของหน่วยงานเอกชนที่ได้รับผลกระทบกระทบจาก COVID-19 (ไม่รวมผู้มีรายได้ประจำจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ) มีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป สำหรับวงเงินสินเชื่อกำหนดให้รายละไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ไม่ต้องมีหลักประกันการกู้ ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก สำหรับในระยะแรกของโครงการ เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าธนาคารที่เปิดใช้แอป MyMo อยู่แล้วก่อนวันที่ 1 พ.ค. 2564 ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 9 ล้านคน โดยเริ่มจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม 6 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี ชลบุรี สมุทรปราการ และเชียงใหม่ สามารถยื่นกู้ได้ทางแอป MyMo ในวันที่ 13 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป หลังจากนั้นในระยะต่อไปจึงขยายให้บริการลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 20 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป ตามด้วยลูกค้ากลุ่มอื่นที่ไม่มีแอป MyMo กำหนดสิ้นสุดระยะเวลาโครงการวันที่ 31 ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าจะครบจำนวนวงเงินโครงการ ทั้งนี้ ขอแจ้งย้ำว่าธนาคารให้บริการทางการเงินรูปแบบดิจิทัลทางแอป MyMo เท่านั้น จึงขอแจ้งเตือนโปรดระมัดระวังอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อและโลโก้ธนาคารออมสินติดต่อประชาชนด้วยช่องทางอื่น เช่น LINE หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ใช่ MyMo โปรดใช้ความระมัดระวังพิจารณาตรวจสอบจากธนาคารออมสินก่อนทุกครั้ง โดยสามารถติดต่อธนาคารที่ Call Center โทร. 1115 และที่ Facebook : GSB Society
  • 5 พ.ค. 2564
    1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,722 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 115,150 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,190 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 204,062 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์แล้ว จำนวน 24.9 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
  • 27 เม.ย. 2564
    ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 27 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,503 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 114,237 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,662 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 202,402 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ ---------------------------------------------------------------- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
  • 26 เม.ย. 2564
    ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 26 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชน กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,466 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 114,098 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,609 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 202,173 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ ---------------------------------------------------------------- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
  • 23 เม.ย. 2564
    ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 23 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,345 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 113,605 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,421 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 201,371 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
  • 22 เม.ย. 2564
    ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 22 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชน กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,301 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 113,427 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,330 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 201,058 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
  • 21 เม.ย. 2564
    ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 21 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,254 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 113,233 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,247 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 200,734 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
  • 1 ก.พ. 2564
    บอร์ด ธ.ก.ส. สั่งเร่งขับเคลื่อนนโยบายช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งการพักชำระหนี้ต้นเงินกู้เกษตรกร 1 ปี ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร ผู้กู้เงินสินเชื่อฉุกเฉิน 6 เดือน และผู้เข้าร่วมโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ 1 ปี พร้อมเติมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นผ่านสินเชื่อฉุกเฉินให้กับเกษตรกรและครอบครัว วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.1 % ต่อเดือน ปลอดชำระหนี้ 6 เดือน และสินเชื่อฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี เริ่มเปิดรับคำขอสินเชื่อ 29 ม.ค.นี้